วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

illslick


illslick


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก illslick


               "ให้บอกว่ารักเท่าจักรวาลมันก็ยังไม่พอ 
                   ก็อยากได้ยินเธอพูดซ้ำ like I never heard that before
                    ก็อยากได้ยินมันทุกวัน อยากได้ยิน เพียงเธอบอกรักฉัน" 

                นั่นแน่! แค่เห็นเนื้อร้องบอกรักหวาน ๆ ข้างต้น หลายคนคงจะเดาออกใช่ไหมคะ ว่าเพลงนี้เป็นเพลงอะไร ... เชื่อเลยค่ะว่า คอเพลงหลายคนกำลังตกหลุมรัก ดนตรีนุ่ม ๆ เนื้อร้องน่ารักโรแมนติก อย่างเพลง "รักเมียที่สุดในโลก" ของวง illslick (อิลสลิก) อย่างแน่นอน  เพราะนอกจากดนตรีฟังลื่นหูแล้ว เสียงร้องของนักร้องนำยังไพเราะฟังสบายอีกด้วย  จนเพลงนี้กลายเป็นเพลงสุดฮอตที่ท็อปฮิตติดชาร์ตหลากหลายคลื่นเพลงเลยทีเดียว  แถมวงนี้ยังมีอีกเพลงเพราะ ๆ อีกหลายเพลง ที่กำลังจะต่อคิวทะยานขึ้นชาร์ตตาม ๆ กันไปติด ๆ 

              ... เอ้า! ส่วนใครที่เป็นแฟน ๆ เพลงของ illslick และอยากจะรู้ว่า วงนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร แล้วเป็นใครมาจากไหนกันบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันครับ


illslick


illslick

              สำหรับชื่อของ illslick ไม่ใช่ชื่อของวงดนตรีแต่อย่างใด เป็นเพียงชื่อ AKA หรือ ฉายาแร็พเปอร์ ของหนุ่มคนหนึ่งที่รักในเสียงดนตรีนามว่า "โต้ง" หรือที่ใคร ๆ เรียกเขาว่า "อิล" ตามชื่อแรกของฉายาเขาเท่านั้น! หรือจะเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนนามปากกาของแร็พเปอร์นั่นเอง โดยโต้งได้แต่งเนื้อเอง เรียบเรียงเอง ร้องเอง มิกซ์เอง คนเดียวทุกขั้นตอน!!  

            และสำหรับเพลงของแร็พเปอร์ illslick  หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมเขาถึงเป็นแร็พเปอร์ทั้งที่เพลงออกจะฟังนุ่มลื่นสบายหูขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่า เพลงดังกล่าวเป็นแร็พแนว Slow jam ส่วนจุดเด่นของเพลงแนวนี้ ก็มักจะเป็นเพลงที่มีเมโลดี้สวยงาม มีเนื้อร้องน่ารัก ผสานไปกับเสียงร้องนิ่ม ๆ ในจังหวะรัว ๆ ซึ่งยังคงความเป็นแร็พเปอร์ไว้ 

            ส่วนบทเพลงของ illslick ที่เพิ่งจะมาติดหูคอเพลงเมื่อไม่นานมานี้ จริง ๆ แล้ว illslick ไม่ใช่มือใหม่ในวงการฮิปฮอป หรือแร็พเปอร์เมืองไทยเลย เพราะ illslick สนใจและเริ่มทำเพลงมาตั้งแต่อายุ 17 ปี เป็นศิลปินที่รู้จักกันดีในแวดวงเพลงใต้ดิน จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้ว (พ.ศ. 2554) เพลงของ illslick ก็กลายเริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จากการบอกปากต่อปาก และแชร์คลิปเพลงผ่านเฟซบุ๊ก (ตอนนี้มีผู้เข้าชมกว่า 6 ล้านคน) ซึ่งก็ทำให้ illslick กลายเป็นชื่อที่หลาย ๆ คนค้นหา เพื่อจะฟังเพลงที่เขาแต่ง และแน่นอนเพลงที่เขาแต่งไว้มีเยอะมากเลยทีเดียว หลังจากนั้นบทเพลงของ illslick ก็ถูกอัพโหลดและแชร์กันไปเรื่อย ๆ จนชื่อเสียงของ illslick กลายเป็นที่รู้จักโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ! แร็พเปอร์เมืองนอกหลายต่อหลายประเทศ ก็ชื่นชอบในผลงานของ  illslick กันอย่างมากมายเลยทีเดียวล่ะ



illslick

          สำหรับเส้นทางการเป็นนักร้องแร็พเปอร์ของเขาไม่ได้สวยหรูเท่าไรนัก ที่โด่งดังได้นั้นเป็นฝีมือล้วน ๆ ไม่มีค่ายเพลง ไม่มีคนคอยสนับสนุน โดยแรกเริ่มเดิมที โต้งต้องทำงานช่วยแม่ตั้งแต่เด็ก ๆ ที่ต่างจังหวัด ซึ่งตอนนั้นไม่มีเพลงอะไรฟังมีแต่ซาวน์อะเบ้าท์เครื่องเดียวที่บันทึกทำนองเพลงช้า ๆ เอาไว้ ด้วยความที่ชอบในเสียงเพลงก็เคยได้ยินเพลงแร็พแล้วก็ชื่นชอบมาก เลยพยายามใส่เนื้อร้องเข้าไปในทำนองนั้น พยายามร้องทุกวัน หาเนื้อร้องใส่จังหวะให้มันเข้ากัน และสุดท้ายเขาก็ทำได้ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็พยายามฝึกร้องเพลง และหลงรักในแนวเพลงนี้เรื่อยมา จนได้ทำเพลงด้วยตนเองเอาไปแชร์ให้เพื่อน ๆ ในเว็บไชต์เพลงใต้ดินฟัง จากนั้นเขาก็ได้ตั้งชื่อเขาว่า illslick ในที่สุด

          จากการสั่งสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ เขาก็เกิดไอเดียใหม่ ๆ โดยเขาคิดว่าในเมืองเพลงฝรั่งร้องแร็พได้มันส์ ร้องแร็พได้นุ่ม เขาก็พยายามเอาเนื้อร้องภาษาไทยใส่เขาไป เพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย และอยากลองมาก เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์เยอะ มีเสียงสูงเสียงต่ำ ต่างจากภาษาฝรั่งที่ร้องแร็พลื่นกว่ามาก นอกจากนี้เขายังอยากจะทำให้คนหลาย ๆ คนหันมาชอบเพลงฮิปฮอปกันมากขึ้น อยากให้วงการเพลงเปิดกว้างและยอมรับกับแนวเพลงเช่นนี้ 

         หลังจากที่ทราบเรื่องราวของเขาแล้ว สรุปได้ว่าวงการเพลงไทยบ้านเรา illslick ถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือคนหนึ่ง ถ้าใครยังไม่ได้ลองฟัง เพลงของ illslick ก็ลองคลิกเข้าไปฟังกันได้นะคะ ของบอกว่า แต่ละเพลงเพราะ ๆ ทั้งนั้น รับรองว่าฟังแล้วจะติดใจ
 



 illslick เพลง รักเมียที่สุดในโลก


 illslick Feat. 2P (Southside Phuket) เพลง ใจร้าย 



illslick เพลง โปรดสงสารผู้ด้อยโอกาส 

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติ Leah Dizon


เธอชื่อ Leah Dizon

ชื่อจริง : Leah Donna Dizon

เกิด : 24 กันยายน 1986(2529)

สถานที่เกิด : Las Vegas, Nevada, ประเทศ สหรัฐอเมริกา

สัญชาติ : อเมริกา (เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-ฟิลิปปินส์)
(แม่เเป็นคนฝรั่งเศส พ่อเป็นคนฟิลิปปินส์เชื้อสายจีน)
มีพี่น้อง 6 คน เป็นคนที่ 4 (มีพี่ชาย 2 คน พี่สาว 1คน และน้องชาย 2คน)

ราศี : ราศี ตุล (Libra)

กรุ๊ปเลือด : กรุ๊ป o

นัยน์ตา : สีน้ำตาลอมเหลือง (Hazel) [ถ้าเป็นสีอื่นคือใส่contact lens]

ผม : สีน้ำตาล

ผลงาน : นักร้อง, นางแบบ

ส่วน : สูง 167เซนติเมตร, B8- W60- H88

ขนาดเท้า : 24 เซนติเมตร

ภาษา : อังกฤษ พูดญี่ปุ่นได้นิดหน่อย

งานอดิเรก : ร้องเพลง เต้นรำ ช๊อปปิ้ง วาดรูป

อาหารที่ชอบ : เนื้อย่าง ชาบูชาบู อาหารเวียตนาม แมคโดนัลด์

อาหารที่ไม่ชอบ : ซาชิมิ (ปลาดิบ)

กีฬาที่ชอบ : เทนนิส แบดมินตัน

นักร้องที่ชื่นชอบ : Nirvana, The Smashing Pumpkins, Korn, Deftone,
Red Hot Chili Peppers, UtadaHikaru, Moriyama Naotaro, Namie Amuro

สิ่งที่ต้องการขณะนี้ : : จักรยาน

สัตว์เลี้ยง : : แฮมสเตอร์ ชื่อ แฮมจัง

นางแบบสาวจากสหรัฐอเมริกา ผู้กลายเป็น นักร้องญี่ปุ่น เริ่มงานในญี่ปุ่นเมื่อปีก่อน(2006)โดยเริ่มจาก ถ่ายแบบ โดยได้รับฉายาว่า 「グラビア界の黒船」 gravure kai no kurofune ซึ่งเป็นการนำคำเรียก เรืออเมริกาที่มายังญี่ป่นสมัยก่อน มาเปรียบ(黒船 -kurofune)
เริ่มบันทึกเสียง เป็นนักร้องเมื่อ ปลายปีก่อน วางจำหน่ายDebut Single "Softly"(ในOricon Chartขึ้นสูงสุด อันดับ5) วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รวมทั้ง Photobook Hello Leah ทำให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น


































แหม นี่คนหรือนางฟ้ากันเนี่ย    เฮ้อ อิจฉาจริงๆ

ขอบคุณ http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=58&post_id=1151628&page=2

ประวัติ Pitbull





Pitbull หมาดุที่ไม่ได้ดังแค่เสียงเห่า แต่ยังกัดเจ็บและกัดไม่ปล่อยอีกด้วย

• Armando Christian Perez คือชื่อจริงของแร็พเพอร์หนุ่มหน้าใหม่มาแรงที่เรารู้จักกันในชื่อสั้นๆ แต่แสนดุอย่าง Pitbull นั่นเองPitbull เป็นชาวคิวบา แต่มาเติบโตในไมอามี่ รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยโตมากับกาพย์กลอนของคิวบาและดนตรีแนวฮิปฮอป ของไมอามี่ ทำให้เขาชื่นชอบดนตรีแนวนี้มาตั้งแต่เด็กนั่นเอง

• Pitbull ออกอัลบั้มมาแล้วหลายอัลบั้ม คือ ‘M.I.A.M.I. (Money Is A Major Issue)’ เป็นอัลบั้มแรกในปี 2004 ซึ่งมียอดขายถึงระดับแผ่นเสียงทองคำเลยทีเดียว โดยตัวอัลบั้มก็ขึ้นสูงถึงอันดับ 7 ในชาร์ต R&B และอัลบั้มที่ 2 ‘El Mariel’ ในปี 2006 ซึ่งขึ้นสูงสุดถึงอันดับ 2 รวมถึงอัลบั้มที่ 3 ‘The Boatlift’ ในปี 2007 ที่ขึ้นถึงอันดับ 5 โดยได้ร่วมงานกับศิลปินชื่อดังอย่าง Lil Jon, Jim Jones, Frankie J และ Lloyd อีกด้วย

• และนี่คืออัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้เขามากที่สุด ‘Rebelution’ ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ 4 ที่จะออกในปี 2009 แต่เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลแรกไปแล้วในปี 2008 จนกลายเป็นเพลงดังข้ามปีอย่าง ‘Krazy’ ที่ได้ร่วมงานกับเพื่อนคู่หูผู้รู้ใจอย่าง Lil Jon อีกครั้ง โดยเพลงนี้ได้แซมเพิ้ลเพลง‘Cream’ ของ Federico Franchi ในปี 2007 มานั่นเอง ซึ่งมียอดขายซิงเกิ้ลถึงระดับแผ่นเสียงทองคำ (Gold) เลยทีเดียว ซึ่งอัลบั้มนี้ได้ Akon, T-Pain, Avery Storm, Trick Daddy, Kid Cudi และ Scarface มาเป็นแขกรับเชิญและยังได้รับเกียรติจาก Lil Jonและ The Neptunes มาโพรดิวซ์ให้อีกด้วย

• ตามมาติดๆ กับซิงเกิ้ล 2 ‘I Know You Want Me (Calle Ocho)’ ที่ติดชาร์ตอันดับ 1 ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส ตุรกีและเนเธอร์แลนด์ และอันดับ 2 ในอเมริกาและแคนาดา และตอกย้ำความแรงด้วยยอดขายที่สูงถึงระดับแผ่นเสียงทองคำขาว (Platinum) และหนีไม่พ้นการแซมเพิ้ลเพลง ‘Street Player’ ของ Chicago มาอีกด้วย และซิงเกิ้ล 3 ‘Blanco’ ที่ร่วมงานกับ Pharrell และถูกนำไปใช้เป็นซิงเกิ้ลแรก เพื่อโปรโมทอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง ‘Fast And The Furious’ 

• และซิงเกิ้ลล่าสุดที่จะส่งให้เขากลายเป็นแร็พเพอร์ที่ฮ็อทที่สุดในเพลง ‘Hotel Room Service’ ที่จะทำให้คุณต้องโยกตามทุกครั้งที่ได้ยิน ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลที่ 4 ของอัลบั้มนี้ ที่แซมเพิ้ลเพลง ‘Push The Feeling On’ ของ Nightcrawlers มาอีกแล้ว

• Pitbull เคยฝากฝีมือไว้ในงานเพลงของศิลปินชื่อดังอย่างเพลง ‘Shake’ ของ Yin Yang Twins, ‘Hit The Floor’ ของ Twista, ‘Shooting Star’ ของ David Rush และล่าสุด ‘Now I’m That Bitch’ ของ Livvi Franc และยังได้ร่วมงานกับเหล่าดีเจต่างๆ จนได้แจมกับศิลปินดังๆ ไม่ว่าจะเป็น Flo Rida, Lil Wayne, T-Pain, Sean Paul และ Rick Ross เป็นต้น

ประวัติ Eminem




ประวัติ Eminem




ถ้าพูดถึงศิลปินแนวฮิบฮ็อบที่ผมชื่นชอบ และเป็นศิลปินฮิบฮ็อบสากลคนแรกที่ผมรู้จัก จะเป็นใครไปไม่ได้
ถ้าไม่ใช่เขาคนนี้ นั่นก็คือ Eminem ศิลปินแร็พผิวขาว ผู้มากความสามารถ รวมทั้งฝีปากที่จัดจ้านเข้าขั้น
ซึ่งวันนี้ผมจะมาบอกเล่าประวัติความเป็นมาของเขา และผลงานเพลงที่ผ่านมาในอดีต
Eminem
ชื่อจริง :. มาร์แชล บรูซ แมเธอร์ส เดอะ เธิร์ด
วันเกิด :. 17 ตุลาคม 1972
สถานที่เกิด :. เซนต์โจเซฟ รัฐมิสซูรี่ (ใกล้แคนซัสซิตี้)
งานที่เคยทำ :. ทำงานที่กิลเบิร์ตส ล็อดจ์ (ภัตตาคารของครอบครัว) ในเซนต์แคลร์ ชอร์สช่วงปี 1996-1998
ครอบครัว :. แม่ของ เอ็ม ที่ไม่ค่อยจะกินเส้นกันชื่อ เด็บบี้ อาร์ แมเธอร์ส บริกส์ ส่วนอดีตภรรยาเขาชื่อ คิมเบอร์ลี่ ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่งที่ เอ็ม รักมาก ๆ ชื่อ เฮลี่ เจด เธอเกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 1995
วงที่เคยอยู่ :. Soul Intent, Basement Productions, the New Jacks กับ D12
ศิลปินโปรด :. ส่วนมากเป็นศิลปินแนวฮิพฮ็อปอย่าง2 PAC, เรดแมน, Beastie Boys ฯลฯ แต่ก็ชอบ No Doubt และอลานิส มอร์ริสเซ็ตด้วย
รอยสัก - ตัว D บนแขนขวา ตัวย่อของคำว่า Dirty จากคำว่า Dirty Dozen หรือ D-12 โดยแขนอีกข้าง จะมีรอยสักเป็นเลข 12 อยู่
           - คำว่า Hailie Jade ซึ่งเป็นชื่อลูกสาว บนแขนขวา
           - คำว่า Ronnie บนแขนซ้าย เป็นที่ระลึกถึงลุงรอนนี่ พิลคิงตัน ซึ่งเสียชีวิตในปี 1991 เพราะฆ่าตัวตาย เอ็มมิเน็มบอกว่า เขาสนิทกับลุง มากกว่าใครในครอบครัว
           - คำว่า Eminem ซึ่งเป็นชื่อที่เขาใช้ ในการเป็นศิลปิน อยู่บนแขนขวา
           - รอยสักรูปสร้อยข้อมือสไตล์ก็อธธิก บนข้อมือซ้าย
           - คำว่า Slim Shady ซึ่งเป็นด้านมืดของเอ็มมิเน็ม
           - คำว่า Rot In Pieces บนท้อง
ผลงานอัลบั้ม
-  1995  Infinite ผลงานอินดี้
-  1997 Slim Shady EP  ผลงานอินดี้
-  1999 Slim Shady LP  ยูนิเวอร์แซล
-  2000  Marshall Mathers LP  ยูนิเวอร์แซล
-  2002 The Eminem Show  ยูนิเวอร์แซล

     ศิลปินแร็พทั่วไป คงไม่ได้มีเรื่องราวลงนิตยสารดังในวงการเพลงอย่าง Rap Pages, VIBE, Spin, The Source, URB หรือ Stress และคงไม่ได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ ตั้งแต่ก่อนจะออกอัลบั้มแรกกับค่ายเพลงใหญ่ แต่ เอ็มมิเน็ม ไม่ได้เป็นแค่ศิลปินแร็พทั่วไป เพราะเขาคือศิลปินแร็พผิวขาว ที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเพลงแร็พ
     เอ็มมิเน็ม เกิดที่แคนซัส ซิตี้ แต่คุณแม่ของเขาก็พาย้ายที่อยู่ไปเรื่อยทุก 2-3 เดือน ก่อนจะมาลงเอยที่ฝั่งตะวันออกของดีทรอยต์ตอนอายุ 12 ขวบ แน่นอนว่าตอนเด็ก ๆ เอ็ม ต้องย้ายโรงเรียนบ่อย ๆ ปัญหาที่ตามมาคือเข้ากับเพื่อน ๆ ไม่ค่อยได้ และผลการเรียนก็ไม่ค่อยจะดี ทำให้วัยเด็กของเขาไม่ได้สนุกสนานอย่างที่ควรจะเป็น แต่ เอ็ม ยังมีเพลงแร็พเป็นที่พึ่งทางใจ เมื่อเขาทะเลาะกับเพื่อนในโรงอาหาร แทนที่เขาจะรู้สึกเจ็บปวด ต่อมาถึง เอ็ม จะต้องลาออกจากโรงเรียนกลางคันตอน ม.3 และหันไปทำงานค่าแรงต่ำหลายอย่าง แต่เขาไม่เคยเลิกหลงใหลเพลงแร็พเลย
      เอ็ม เริ่มลองแร็พเองตอนอายุ 14 ปีกับวงดูโอ Soul Intent แต่พอถึงปี 1996 เอ็ม ก็ออกอัลบั้มเดี่ยวเป็นชุดแรกชื่อว่า Infinite ในชุดนี้เขาพยายามทำเพลง เพื่อให้วงการเพลงฮิพฮ็อพในดีทรอยต์ยอมรับ แต่กลับถูกโจมตีว่าทำออกมาคล้ายกับเพลงของ Nas และ AZ ทำให้ เอ็ม ผิดหวังและเป็นแรงผลักดันด้วยในเวลาเดียวกัน เขาจึงเริ่มทำงานชิ้นใหม่เป็น EP ภายใต้นามแฝง Slim Shady เป็นงานที่ไม่ได้ทำขึ้นมาเอาใจใครแต่ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น เนื้อหาเสียดสีคนในวงการและประณามเรื่องที่เห็นได้ทั่ว ๆ ไป เป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนเพลงฮิพฮ็อพอันเดอร์กราวด์ ที่ไม่ค่อยชอบอะไรง่าย ๆ ได้ในที่สุด
     เล่ากันว่า ด็อกเตอร์ เดร ศิลปินแร็พชื่อดังอดีตวง N.W.A.พบเดโมเทปตัวอย่างของ เอ็มมิเน็ม บนพื้นโรงรถของ จิมมี่ ไอโอไวน์ ผู้บริหารค่ายเพลงอินเตอร์สโคป แต่ด็อกเตอร์ เดร ก็ยังไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่ง เอ็ม คว้าอันดับ 2 ของการแข่งขัน Rap Olympics MC ประเภทฟรีสไตล์ทางสถานีวิทยุในลอสแอนเจลิส ตอนนั้น ด็อกเตอร์ เดร ประทับใจเขามาก ถึงขนาดให้คนตามหาตัวเขา หลังจากนั้นไม่นาน ด็อกเตอร์ เดร ก็ได้ตัว เอ็มมิเน็ม มาเซ็นสัญญากับค่ายอาฟเตอร์แม็ธของเขา ที่อยู่ในเครืออินเตอร์สโคป และร่วมงานกันเป็นพาร์ทเนอร์ที่ลงตัวที่สุด เท่าที่เคยมีมาในวงการฮิพฮ็อป ผลงานชิ้นแรกของทั้งคู่คือการที่เอาเพลงใน EP ที่ทำในนาม Slim Shady มาทำใหม่และรวมไว้ในงานอัลบั้มชุด Slim Shady ที่ออกขายช่วงต้นปี 1999 ด็อกเตอร์ เดร ลงมาช่วยงานเพลง My Name Is ,Guilty Conscience และ Role Model ในอัลบั้มนี้ด้วยตัวเอง เอ็มมิเน็ม ก็ตอบแทน ด็อกเตอร์ เดร ด้วยการไปช่วยเขาทำงานในอัลบั้ม Dr. Dre 2001 ของ ด็อกเตอร์ เดร เอง
     อัลบั้ม Slim Shady ของเอ็มมิเน็ม กระหึ่มวงการเพลงฮิพฮ็อปทันที เพราะเนื้อร้องที่สะดุดหูกับโปรดักชันชั้นยอด แม้เนื้อหาของเพลงในอัลบั้มนี้ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมทั้งภาพการ์ตูนและกราฟฟิกบนปกที่ส่อความรุนแรง แต่ก็มีกลุ่มที่ชื่นชมอัลบั้มนี้จนไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 2 ในอเมริกา เพราะชอบอารมณ์ขันแบบแสบ ๆ คัน ๆ ปนซาดิสต์ในเนื้อเพลง เอ็ม อ้างว่าเนื้อเพลงไม่ใช่ความคิดของเขา แต่เป็นความคิดของ Slim Shady อัลเทอร์อีโก้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าแม่ของลูกตัวเองในเพลง '97 Bonnie & Clyde หรือการกล่าวหาว่าแม่ตัวเองติดยางอมแงมในเพลง My Name Is แต่เขาให้สัมภาษณ์ว่าเขามีวัยเด็กที่ผิดปกติ แม่ทำให้เขาเป็นเด็กมีปัญหา เรื่องลุกลามใหญ่โตเมื่อแม่เขาลุกขึ้นมายื่นเรื่องฟ้องศาลว่า เอ็ม ทำลายชื่อเสียง ฯลฯ แถมยังพ่วงเอาปัญหาส่วนตัวของเขากับ คิม ภรรยาของเขาในตอนนั้น
     แต่เรื่องราวฉาวโฉ่ก็ไม่ได้ส่งผลลบกับยอดขาย The Marshall Mathers กลับทำยอดขายได้สูงถึงเกือบ 2 ล้านชุดในสัปดาห์แรก นับเป็นสถิติใหม่ของอัลบั้มเพลงแร็พ และขึ้นถึงอันดับที่ 1 ในอเมริกาได้ทันทีในเดือนพฤษภาคมปี 2000 นอกจากจะมีปัญหากับแม่ตัวเองแล้ว เอ็ม ยังตกเป็นเป้าวิจารณ์ของบรรดาเกย์ เพราะเนื้อเพลงในอัลบั้มที่ 2 พูดถึงการแอนตี้ เกย์อย่างชัดเจน แต่ข่าวพวกนี้กลับช่วยทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากกว่าเดิม นอกจากนี้อัลบั้ม The Marshall Mathers ยังทำให้เขาคว้ารางวัลแกรมมี่กลับบ้านถึง 3 รางวัลด้วยกันในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2001 รวมทั้งเพลง Stan จากอัลบั้มนี้ยังทำให้ ไดโด้ ศิลปินสาวแจ้งเกิดในวงการเพลงได้ด้วย เพราะเขาแซมเปิ้ลเพลง Thank You ของเธอมาไว้ในเพลง Stan ซึ่งก็เป็นเพลงฉาวอีกเพลงที่พูดถึงแฟนเพลงหมายเลข 1 ของเขา ที่ฆ่าตัวตายพร้อมภรรยาท้องแก่ หลังจากนั้น เอ็ม ก็กลับไปรวมตัวกับพรรคพวกเก่าจากดีทรอยต์วง D12 ที่นอกจากเขาแล้วก็ยังมีเพื่อน ๆ ผิวดำ 6 คน สวิฟตี้, พรูฟ, คูนิวา, คอน อาร์ทิสต์ กับ บิซาร์ อัลบั้มแรกของ D12 ชื่อ Devil's Night มี Purple Pills เป็นซิงเกิ้ลแรก แต่ถูก"แบน" เพราะส่อถึงเรื่องยาเสพติด เลยเปลี่ยนเป็น Purple Hills แทน
     The Eminem Show อัลบั้มชุดที่ 3 ของ เอ็มมิเน็ม ตกเป็นข่าวตั้งแต่ยังไม่ออกขาย เริ่มตั้งแต่มิวสิค วิดีโอของซิงเกิ้ลแรก Without Me ที่ เอ็ม แต่งตัวเป็น โอซามะ บิน ลาเดน หัวหน้ากลุ่มผู้ก่อการร้าย อัล คาอีด้า รวมทั้งทุกเพลงในอัลบั้มเกิดเล็ดลอดไปอยู่บนอินเตอร์เน็ต ทั้งที่มีการออกมาตรการป้องกันเรื่องนี้อย่างรัดกุม มีเพียงไม่กี่คนที่เคยได้ฟังเพลงอัลบั้มนี้ล่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีแผ่นผีปั๊มขายกันเกลื่อน ที่นิวยอร์คในราคาแค่ 5 ดอลลาร์ ทำให้ต้นสังกัดเลื่อนกำหนดการขาย The Eminem Show ขึ้นมา จากวันที่ 3 มิถุนายนมาเป็น 26 พฤษภาคม 2002 แต่ถึงจะมีเทปผี CD เถื่อนขายไปก่อนแล้ว อัลบั้มชุดนี้ก็ยังกวาดรายได้ถล่มทลาย ขึ้นอันดับ 1 ทั้งอังกฤษและอเมริกาทันทีที่ออกขาย ในอเมริกา The Eminem Show ค้างอยู่อันดับ 1 ถึง 3 สัปดาห์
     คราวนี้ เอ็ม มาแปลกนอกจากจะมาพร้อมความเกรี้ยวโกรธ, ความรุนแรง ฯลฯ ก็ยังมีพูดถึงเรื่องความรักที่เขามีกับ เฮลี่ ลูกสาวสุดที่รัก ซึ่งมาช่วยส่งเสียงไว้ด้วยในเพลง My Dad's Gone Crazy มีการดึงเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องพูดถึงรัฐบาลของ จอร์จ บุช จูเนียร์ และมีการนำเอาอิทธิพลวงร็อคจากยุค 70 อย่างของ Aerosmith มารวมไว้ในงานของตัวเองด้วย

ทราบหรือไม่
-  ชื่อ เอ็มมิเน็ม มาจากช็อคโกแล็ตยี่ห้อ M&M ที่พออ่านเร็ว ๆ แล้วจะกลายเป็น Eminem
-  ชื่อวง D12 มาจากการที่สมาชิกทั้ง 6 คนต่างก็มีบุคลิกคนละ 2 แบบ (double identity) รวมทั้งยังเป็นชื่อหนังสงครามจากปี 1967 ด้วย วงนี้กันมาตั้งแต่กลางยุค 90 แล้ว (แต่ในตอนนั้นมี บั๊กซ์ ด้วย พอเขาเสียชีวิต สวิฟตี้ ก็มาแทน) D12 เพิ่งจะมาได้ออกผลงานก็ตอนที่ เอ็ม เป็นซูเปอร์สตาร์แล้วนั่นแหละ ส่วนชื่ออัลบั้ม Devil's Night หมายถึง ดีทรอยต์ เพราะ Devil's Night ตรงกับวันที่ 30 ตุลาคม ซึ่งคนที่ดีทรอยต์จะออกมาฉลองกันอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาบอกว่าเหมือนกับที่นิวยอร์คมีนิคเนมว่า Big Apple นั่นแหละ (แต่นิคเนมอย่างเป็นทางการของดีทรอยต์คือ Motor City)




Eminem

ข้อมูล

ประวัติ Slipnot




ประวัติเล็กน้อยมากๆ (เดี๋ยวค่อยเอามาเพิ่มครับ)

ถือกำเนิดที่ : มลรัฐไอโอว่า สหรัฐอเมริกา ในปีค.ศ. 1995

ประเภท : Alternative Matel / Nu-Metal / Rap Metal (เมื่อก่อนอ่ะนะ)







สมาชิกในวง






Corey Taylor    ..นักร้องนำ...


เกิด 8 ธันวาคม ค.ศ. 1973 (ปัจจุบันอายุ 34 ปี)


ความสามารถด้านดนตรี : นักร้อง / กีต้าร์ / เบส


ประวัติเล็กน้อยๆ


1.Corey เริ่มต้นการประกอบอาชีพด้านดนตรีด้วยการร้องเพลงกับวงดนตรีต่างๆในรัฐไอโอว่า


2.เคยร้องเพลงร่วมกับวง Progressive-Rock ชื่อดัง Dream Theater(ตายละวา นึกขึ้นได้ผมยังไม่คืนแผ่นให้เพื่อนเลย - -) ในอัลบั้ม Systematic Chaos ปี 2007


3.วงดนตรีโปรดของ Corey คือ New York Dolls , Korn , Black Sabbath , Hanoi Rocks,Mötley Crüe และวง Kiss 


4.Corey ยังเป็นคนเขียนบทความ Rock Sound ในนิตยสาร UK Rock Magazines ซึ่งออกเป็นรายเดือน 


5.เป็น Producer ของวง Walls of Jericho's 


6.เป็นผู้สนับสนุนวงดนตรี Apocalyptica แนว Cello-Metal จากฟินแลนด์ ใน single "I'm Not Jesus" และยังเป็นผู้สนับสนุนวงดนตรีอื่นๆมากมาย


ชีวิตส่วนตัว


Corey เติบดตมาในชีวิตที่ยากจน ลำบาก โดยมีแม่เป็นผู้เลี้ยงดู เขาไม่เคยได้พบพ่อจนกระทั่งเขาอายุ 32 ปี แต่เขาก็ได้เสริมสร้างมิตรภาพอันดีกับพ่อของเขา ปัจจุบันCorey หย่าขาดกับภรรยา โดยมีบุตรชื่อ Griffin (กริฟฟิน) ด้วย ตามร่างกายของ Corey มีรอยสักมากมายเกี่ยวกับครอบครัวของเขา














Sid Wilson ตัวซนประจำวง...สมาชิกหมายเลข 0 ของ Slipknot


เกิดเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ.1978 (ปัจจุบันอายุ 30 ปี)


ความสามารถด้านดนตรี : Turntables




อื่นๆ


1.Wilson มีชื่อเสียงโด่งดังเพราะการกระทำที่บ้าระห่ำระหว่างการแสดง


2.ชอบหาเรื่องทะเลาะ(เล่นๆล่ะมั้ง) กับ Clown 1 ในสมาชิกของวงระหว่างการแสดง


3.เคยจุดไฟเผาตัวเองด้วย (ระหว่างแสดงคอนเสิร์ต)


4.ชอบกระโดดใส่คนดู


5.อายุน้อยที่สุดในวงแล้วครับ


6.มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า DJ Starscream


7.ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยเป็นแฟนคลับของ Sid Wilson 


8.เคยร่วมมือกับ Hiroshi Kyonoนักร้อง แห่งวง The Mad Capsule Markets ในเพลง Hakai ซึ่งเป็นเพลงซาวด์แทรกประกอบภาพยนตร์ชื่อดัง Deathnote




ครับ ใครชอบฟังอะไรก็แล้วแต่นะครับไม่ว่ากัน Metal มันก็มีกันหลายประเภทอ่าครับ เดี๋ยววันหลังผมค่อยเอาสาขา metal มากระจายให้ดูแล้วกันนะ












Joey Jordison มือกลองร่างเล็ก(ก็คือเตี้ยนั่นแหละ)...สมาชิกวงคนโปรดของผม


ชื่อโดยกำเนิด ; Nathan Jonas Jordison 


วันเกิด ; 26 เมษายน 1975ที่โรงพยาบาล Mercy (ปัจจุบันอายุ 32 ปี) 


ความสามารถด้านดนตรี : กลองชุด / กีต้าร์ / เบส / ร้องเพลง


อื่นๆ


1.ช่วงมัธยม Joey เป็นมือกลองในวงดนตรี รวมทั้งยังเล่นกลองชุดในดนตรีแนว jazz อีกด้วย 


2.หลายๆคนยอมรับว่า Joey ตีกลองเก่งมาก แต่รู้ไหมว่าเครื่องดนตรีแรกเริ่มของโจอี้คือ กีต้าร์ ไม่ใช่กลอง


3.หลังจบ มัธยม Joey เริ่มสนใจดนตรีแนว Rock โดยเขามีวงโปรดคือ Slayer, Kiss และ Metallica 


4.แรงบันดาลใจของ Joey คือ Eric Carr มือกลองวง Kiss กับ Lars Ulrich แห่ง Metallica


5.เคยทำงานในปั๊มน้ำมันมาก่อน ในขณะนั้นก็รับเล่นกลองในวงแนว Metal หลายๆวง


6.เคย Remix เพลง "Fight Song" ให้ Marilyn Manson 


7.เป็นมือกีต้าร์ให้วง Murderdolls  วงแนว Metal/Horror-Punk


8.หน้ากากของJoey คือ หน้ากาก Kabuki (คาบุกิ) ของประเทศญี่ปุ่น ได้รับแรงบันดาลใจจากแม่ของเขา โดยในคืนวันฮาโลวีนวันหนึ่ง Joey กลับบ้านดึกมาก และพบแม่ของเขาใส่หน้ากากนี้ยืนรออยู่..Joey ถึงกับตกใจในสีหน้าอันไร้ความรู้สึกของหน้ากากนั้น และได้ใช้มันเป็นหน้ากากประจำตัวของเขาในที่สุด


9.Joey ออกแบบหน้ากากของเขาไว้กว่า 100 แบบ






Paul Gray มือเบส...(อันนี้หารูปเดี่ยวไม่เจอ) สมาชิกหมายเลข 2


ชื่อจริง : Paul Dedrick Gray


เกิด : 8 เมษายน 1972 (ปัจจุบันอายุ 36 ปี)


เครื่องดนตรี : เบส


อื่นๆ


1.เคยอยู่ในวง Anal Blast, Vexx, Body Pit, Inveigh Catharsi


2.เคยร้อง Back-up ให้ในเพลง Spit It Out , Get This , People = S h i t , Disasterpiece , Three Nil ,  Pulse Of The Maggots และ Before I Forget 


3.เมื่อไหร่ที่ Corey นักร้องนำร้องเพลงไม่ไหว ก็มี Paul Grey นี่แหละมาช่วยร้องให้


4.เคยโดนจับข้อหาขับขี่ขณะอยู่ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติด (เมายาแล้วขับอ่ะแหละครับ แปลซะเว่อร์เลยตู) ในเดือนมิถุนายน ปี 2003


5.หน้ากากของ Paul ได้แรงบันดาลใจจากตัวละครในเรื่อง Hannibal













Chris fehn มือ Percussion จมูกยาวChris Fehn มือ Percussion จมูกยาว


ชื่อจริง : Christopher Michael Fehn


เกิด : 24 กุมภาพันธ์ 1972 (ปัจจุบันอายุ 36 ปี)


เป็นสมาชิกหมายเลข 3 ของวง Slipknot


อื่นๆ


1.เคยเป็นนักฟุตบอลสมัยที่เรียนอยู่


2.เล่นกอล์ฟเก่งมากๆ


3.แล้วแถมยังเล่นไพ่**กเกอร์เก่งอีกตะหาก


4.เป็นแฟนเพลงแนว Norwegian Black Metal โดยมี วง Dimmu Borgir เป็นวงโปรด


5.มีหน้ากากแค่ 5 แบบ ดีไซน์เหมือนกัน ต่างที่สี


6.เป็นหน้ากากสไตล์ Tengu ส่วนจมูกของหน้ากากจะยาวประมาณ 19 ซม.เสมอ


7.Fehn เคยให้สัมภาษณ์ว่า"หน้ากากนี่ใส่เป็นนานๆกลิ่นจะเหม็นมาก กลิ่นเหมือนอ้วก เหงื่อ และก็ ฉี่" - - (กลิ่นรวมความซกมกจริงๆ)

















James Root มือกีต้าร์ หมายเลข 4


เกิด : 2 ตุลาคม 1971 (ปัจจุบันอายุ 36 ปี)


อื่นๆ


1.สูงประมาณ 190 ซม. กว่าๆ สูงที่สุดในวงแล้วครับ


2.เคยทำงานเป็นพนักงานบนรถโดยสารแล้วก็พนักงานเสิร์ฟอาหารก่อนจะมาเป็น 1 ในวง Slipknot


3.มาเป็นมือกีต้าร์แทน Josh Brainard มือกีต้าร์คนเก่าของ slipknot


4.กำลังคบกับLacuna Coil  ทั้งคู่พบกันในปี 2004


5.แต่ก่อนย้อมผมสีชมพู - -


6.ใช้หน้ากาก Jester (ตัวตลก) เนื่องจาก "เป้นสิ่งที่แทนบุคลิกนิสัยของตัวเอง"






Craig "133" Jones (หัวหนาม)


ชื่อจริง : Craig Michael Jones


เกิด 11 กุมภาพันธ์ 1972 (ปัจจุบันอายุ 36 ปี)


เครื่องดนตรี : Keyboard , MIDI Controller , Guitar


อื่นๆ


1.บ้าเล่นเกม


2.ที่เห้นเป็นหนามๆบนหน้ากากน่ะ ตะปู ไม่ก็ เข็มทั้งนั้นยาวประมาณ 9 นิ้ว


3.เคยเกิดอุบัติเหตุเล็กๆอันเนื่องมาจาหน้ากากของเขา คือ ผมของแฟนเพลงคนนึงเข้าไปพันอยู่กับตะปูบนหน้ากาก  - - แต่ก็ใช้เวลาไม่นานในการแกะออก


4.เป็นคนดูแลเว็บไซต์ของวง Slipknot


5.แฟนเพลงมองว่าเป็นคนที่ลึกลับที่สุดในวง ตอนสัมภาษณ์ก็ไม่ค่อยพูดอะไร แถมยังชอบกลับบ้านเร็วกว่าเพื่อน เวลาคอนเสิร์ตเลิก


6.ระหว่างการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง Craig Jones พูดเพียงประโยคเดียว คือ "ถ้าผมไม่เป็นสมาชิกในวง Slipknot ป่านนี้ผมก็คงเป็น ฆาตกรโรคจิต" ผลลัพธ์คือมีคนส่งจดหมายเข้าไปต่อว่าเขาเพียบ


7.มีข่าวลือว่าโจนส์ระบุตัวเองว่าเป็น "คนผอม และมีบุคลิกของฆาตกรโรคจิต"


8.เพื่อนที่ดีที่สุดของเขาคือ คอมพิวเตอร์


9.เคยมีคนถามว่า "หลังบ้านคุณน่ะ คุณฝังศพไว้กี่ศพ" Craig Jones ไม่เคยตอบคำถามนี้....


**นี่บุคลิกน่ากลัวชะมัด - -









Shawn "Clown" Crahan ตัวตลกสุดสยอง สมาชิกหมายเลข 6


ชื่อจริง : Michael Shawn Crahan


เกิด : 24 กันยายน 1969 (อายุ 38 ปี)


เครื่องดนตรี : Percussion เป็น Back-Up ให้มือกลอง Joey Jordison คู่กับ Chris Fehn


คนนี้ประวัติสั้นมาก...


1.พ่อแม่ของ Shawn เป็นคนให้ทุน(เงิน)แก่วง Slipknot ช่วงแรกๆ ซึ่งเขาบอกว่าเขารู้สึกเคารพพ่อแม่เขามาก


2.ในช่วงปี 90 เคยมีปัญหาเรื่อง การดื่มเหล้า ติดเหล้างอมแงม จนเกือบฆ่าตัวตาย


3.แต่ก็ไม่ฆ่าตัวตาย เพราะเขาได้พบกับ Chantal ภรรยาของเขา โดยเขาให้สัมภาษณ์ว่าภรรยาของเขาเว่าเปรียบเสมือน "ผู้ช่วยเหลือและฮีโร่" 


4.มีลูกสาว 2 คน และ ลูกชาย 2 คน


















Mick Thomson มือกีต้าร์ หมายเลข 7


ชื่อจริง : Mickael Gordon Thomson


เกิด : 3 พฤศจิกายน 1973 (อายุ 34 ปี)


อื่นๆ


1.เคยเป็นสมาชิกวง Bodypit ก่อนมาเป็นมือกีต้าร์วง Slipknot


2.ตามความเชื่อส่วนบุคคล นามสกุลของเขาสะกดว่า Thomson ไม่ใช่ Thompson


3.เป็นสมาชิกหมายเลข 7 ของ Slipknot แล้วดูท่าทางจะชอบเอามากๆเสียด้วยเพราะ เขาถึงกับสักเลข 7 ไว้บนแขน มีลายบนกีต้ารื บนนู้นบนนี้เต็มไปหมด 


4.สักรูปกางเขนไว้ช่วงบนของหลัง